วันนี้ทางทีมงานวิหคนิวส์ได้ติดตามเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับวรรณคดีพื้นบ้านอีสาน “ผ่าแดงนางไอ่” ตำนานรักลึกซึ้งของหนึ่งหญิงสองชาย เมื่อฝ่ายหนึ่งพลาดรักและถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ก็กลายเป็นสงครามทำให้บ้านเมืองถล่มทลาย กลายเป็นหนองน้ำใหญ่
“เมืองสุวรรณโคมคำ” หรือ เอกธีตา อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหนองแส มีพระยาขอมเป็นผู้ปกครอง มีธิดาสาวสวยคนหนึ่งชื่อ “นางไอ่คำ” ซึ่งเป็นสตรีที่มีสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือไปยังนครต่างๆ ทั้งโลกมนุษย์และบาดาล ต่างมีชายหนุ่มหมายปองจะได้อภิเษกกับนางมากมาย
โดยในจำนวนผู้ที่มาหลงรักนางไอ่คำ คือ “ท้าวผาแดง” กษัตริย์เมืองผาโพง และ “ท้าวพังคี” โอรสพญาสุทโธนาคราช เจ้าผู้ครองนครบาดาล ท้าวทั้งสองต่างเคยมีความผูกพันกับนางไอ่คำมาแต่อดีตชาติ จึงต่างช่วงชิงจะได้เคียงคู่นางกัน แต่ก็พลาดหวัง มิได้อภิเษกทั้งคู่เพราะแข่งขันบั้งไฟแพ้
ด้านท้าวพังคีไม่ยอมลดละ แปลงกายเป็น “กระรอกเผือก” คอยติดตามนางไอ่คำ จนนางอยากได้มาครอบครอง แต่ไม่ว่ายังไงเจ้ากระรอกเผือกก็ไม่ให้จับง่ายๆ จนสุดท้ายถูกนายพรานยิงตาย โดยก่อนตายท้าวพังคีในร่างกระรอกเผือก ได้อธิษฐานว่า “ขอให้เนื้อของข้าจงเอร็ดอร่อย และมีพอกินแก่คนทั้งเมือง” หลังจากนั้นชาวเมืองได้แจกจ่ายเนื้อกระรอกไปกินกัน ยกเว้นพวกแม่ม่าย ที่ไม่ได้รับการแบ่ง
ฝ่ายบริวารของท้าวพังคี ได้รีบกลับไปยังเมืองบาดาล นำความไปบอกพญาสุทโธนาค ว่าโอรสได้ถูกสังหารแล้ว เจ้าผู้ครองนครบาดาลโกรธมากจึงได้เกณฑ์พญานาคนับหมื่นแสนเพื่อถล่มเมืองพระยาขอม ใครกินเนื้อท้าวพังคีต้องตายให้หมด กองทัพพญานาคจึงมุ่งสู่เมืองพระยาขอมทันที
ดึกสงัดของคืนนั้น ขณะที่ชาวเมืองเอกธีตากำลังหลับไหล เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ท้องฟ้าอื้ออึงไปด้วยพายุฝนฟ้า กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ฟ้าแลบอยู่มิได้ขาด แผ่นดินเริ่มถล่มยุบตัวลงไปทีละน้อย
ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้คนที่วิ่งหนี ตาย เหล่าพญานาคผุดขึ้นมานับหมื่น นับแสนตัว ถล่มเมืองเอกธีตาจมลงใต้บาดาลทันที คงเหลือไว้เป็นดอน 3 – 4 แห่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกแม่ม่าย ที่ไม่ได้กินเนื้อกระรอกเผือกจึงรอดตาย
ฝ่ายท้าวผาแดงได้โอกาสรีบควบม้าหนีออกจากเมือง โดยไม่ลืมแวะรับนางไอ่คำไปด้วย แต่แม้จะเร่งฝีเท้า ม้าเท่าใด ก็หนีไม่พ้นทัพพญานาคที่ทำให้แผ่นดินถล่มตามมาติดๆ ในที่สุดก็กลืนท้าวผาแดงและพระธิดาไอ่คำพร้อมม้าแสน รู้ชื่อ “บักสาม” จมหายไปใต้พื้นดิน
รุ่งเช้าภาพของเมืองเอกธีตาที่เคยรุ่งเรืองโอฬาร ก็อันตธานหายไปสิ้น คงเห็นพื้นน้ำกว้างยาวสุดตา ทุกชีวิตในเมืองเอกธีตาจมสู่ใต้บาดาลจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่แม่ม่ายบนเกาะร้าง 3 – 4 แห่ง ในผืนน้ำอันกว้างนี้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนองหาร ดังปรากฏในปัจจุบัน
ส่วนประวัติเมืองหนองหารหลวงไม่มีหลักฐาน ปรากฏไว้เป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากผู้เฒ่าผู้แก่ ของเมืองได้จดจำถ้อยคำของพระบรรเทา กรมการเมืองขุขันธ์คนเก่ากับเพี้ยศรีคอนชุม ซึ่งเป็นหัวหน้าข้าพระธาตุเชิงชุมว่า หลังจาก พระยาสุวรรณภิงคาระ สิ้นพระชนม์ลง เหล่าเสนา ข้าราชการผู้ใหญ่ชาวเขมร ก็ได้ผลัดเปลี่ยน กันเข้ามาปกครอง เป็นเจ้าเมือง หนองหารหลวง ต่อกันมาเรื่อยๆหลายยุคหลายสมัย
ภาพหนองหารในปัจจุบัน