ดร.สมิทธ์ ตุงคะสมิต อาจารย์คณธนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และ เป็นผู้ประสานงานเครือข่าย Green Move Thailand ผู้อยู่เหบื้องหน้า และเบื้องหลังการเคลื่อนไหว ยุติเขื่อนแม่วงก์ ได้ กล่าวว่า แคมเปญรณรงค์เพื่อยุติโครงการเขื่อนแม่วงก์ถือเป็นแคมเปญที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มียอดผู้ร่วมลงชื่อรณรงค์ถึงกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นรายชื่อ จนกลายเป็นแคมเปญรณรงค์ทางสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียขณะนี้
ปรากฏการณ์นี่มีนัยยะสำคัญต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นการเริ่มต้นก้าวสำคัญของภาคประชาสังคม ทำให้คนไทยเริ่มตระหนักถึงหน้าที่ในการเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสังคมไทย เป็นการแสดงออกของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งต้องยอมรับว่า พัฒนาการดังกล่าวเป็นก้าวเล็กๆของสังคมไทยในการก้าวสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองอย่างกว้่างขวางในปัจจุบัน
ในส่วนของการรณรงค์เพื่อหยุดโครงการเขื่อนแม่วงก์ เราได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยล่าสุดเราสามารถยับยั้งโครงการโดยให้ภาครัฐได้หยุดโครงการเพื่อทบทวนรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และทบทวนแผนการดำเนินโครงการ ทำให้โครงการถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
นอกจากนี้ เรายังได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม โดยมีการรวมตัวของเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อทำงานร่วมกันเป็นภาคีการอนุรักษ์ที่ถาวร ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกันของมูลนิธิกับเครือข่ายต่างๆ หรือเครือข่ายต่างๆกับภาคส่วนอื่นๆในสังคมเพื่อการทำงานเชิงอนุรักษ์อย่างเป็นรูปธรรม
ผมมั่นใจมากๆว่าคนธรรมดาอย่างเราทุกคนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้ การที่ผมลุกขึ้นมาทำการรณรงค์ผ่านเครื่องมือและกลไกของ ทำให้การทำงานรณรงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมในยุคนี้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น การกำหนดประเด็นการรณรงค์ที่ชัดเจน เหตุผลที่กระชับและเข้าใจง่าย และที่สำคัญที่สุดคือความมุ่งมั่นและความตั้งใจของผู้ริเริ่มดารรณรงค์ เป็นเรื่องสำคัญ
ที่มา change.org
สำนักข่าววิหคนิวส์