ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าอาจคัดค้านการออกใบอนุญาตสื่อให้กับเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ของสหรัฐฯ รวมถึงเอ็นบีซี หลังไม่พอใจรายงานข่าวที่ออกมา
BBC -ประธานาธิบดีทรัมป์ มุ่งเป้าที่ไปเอ็นบีซี โดยเฉพาะ หลังจากมีรายงานข่าวว่าเขาต้องการเพิ่มจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ เกือบ 10 เท่า ซึ่งเอ็นบีซี คือสถานีโทรทัศน์ที่เคยทำให้เขาโด่งดังจากรายการดิ อะเพรนทิส มาก่อน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกรายงานข่าวดังกล่าวว่า “ข่าวเท็จ” และ “เรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด” ส่วนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เอ็นบีซีได้สร้างความไม่พอใจให้กับทำเนียบขาว จากรายงานที่ระบุว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ เรียกประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “คนปัญญาอ่อน”
ข้อความในทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (11 ต.ค.) ระบุว่า “ด้วยข่าวเท็จทั้งหมดที่เอ็นบีซี รายงานออกมา รวมถึงเครือข่ายสถานีโทรทัศน์อื่นๆ ต้องรอถึงจุดไหนถึงจะเหมาะสมให้คัดค้านใบอนุญาตของพวกเขา? ไม่ดีกับประเทศชาติ!”
จากนั้น ระหว่างต้อนรับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา ที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวปฏิเสธข้อมูลในรายงานข่าวของเอ็นบีซีว่า “น่ารังเกียจจริง ๆ ที่สื่อสามารถเขียนอะไรก็ได้ที่อยากเขียน ควรมีคนตรวจสอบเรื่องนี้”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องการเพิ่มจำนวนอาวุธนิวเคลียร์จริงหรือไม่ ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า เพียงแต่เคยหารือเรื่องการดูแลรักษาอาวุธให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เท่านั้น “ไม่ ผมต้องการให้บำรุงรักษาอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งเรากำลังทำอยู่… แต่เขารายงานว่า ผมต้องการเพิ่มอีก 10 เท่าจากที่มีอยู่ขณะนี้ เชื่อผมเถอะ มันไม่จำเป็นเลย” และ “ผมต้องการปรับปรุงให้ทันสมัย และฟื้นฟูทั้งหมด ให้อยู่ในสภาพดีเยี่ยม”
ด้านพล.อ.เจมส์ แมททิส รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ออกมาโต้แย้งรายงานข่าวของเอ็นบีซี เช่นกันว่า “รายงานข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่อ้างว่าประธานาธิบดี เรียกร้องให้เพิ่มจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ เป็นเรื่องเท็จโดยสิ้นเชิง” และ “รายงานข่าวที่ผิดพลาดเช่นนี้ ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ”
ทวีตของประธานาธาธิบดีทรัมป์ เกี่ยวกับเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ของสหรัฐฯ เป็นเหตุให้เกิดกระแสวิจารณ์ตามมาอย่างรุนแรงกับประเด็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
นายวอล์เทอร์ ชอบ อดีตผู้บริหารสำนักงานจริยธรรมของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า อาจนำไปสู่ “จุดที่สหรัฐฯ เลิกล้มความเป็นประชาธิปไตย”
ส่วนคณะกรรมการปกป้องสื่อมวลชน ระบุว่าความเห็นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับผู้นำประเทศอื่น ๆ
ตามรายงานข่าวของเอ็นบีซี ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวต่อที่ประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่กระทรวงกลาโหมเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า ต้องการเสริมคลังขีปนาวุธสำหรับติดหัวรบนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ให้มากขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากเห็นกราฟรายงานข้อมูลจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ซึ่งลดลงมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1960
เอ็นบีซี อ้างในรายงานด้วยว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่อยู่ในที่ประชุม รวมถึงคณะเสนาธิการร่วม และนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศ และประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้เรียกร้องให้เพิ่มกำลังทหาร กับยุทโธปกรณ์ด้วย
ตัวเลขของสมาคมเพื่อการควบคุมอาวุธ ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองของสหรัฐฯ ชี้ว่า ขณะนี้สหรัฐฯ มีอาวุธนิวเคลียร์ 7,100 ลูก ส่วนรัสเซียมี 7,300 ลูก
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ อาจต้องเผชิญกับความยุ่งยาก หากจะเพิกถอนใบอนุญาตสื่อ เนื่องจากคณะกรรมการกลางที่กำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐฯ จะออกใบอนุญาตให้กับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น แทนที่จะเป็นบริษัทเครือข่ายโทรทัศน์โดยรวม ซึ่งขณะนี้ เอ็นบีซี เป็นเจ้าของกิจการสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นเกือบ 30 แห่ง ทำให้ยากที่จะคัดค้านผู้ถือใบอนุญาตเพียงรายเดียว ด้วยข้ออ้างที่ว่ารายงานข่าวไม่เป็นธรรม
สำนักข่าววิหคนิวส์