เหตุการณ์ในวันสวรรคต” 23 ตุลาฯปิยมหาราชานุสรณ์๛
ค่ำวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เป็นที่ทราบกันอย่างภายในราชสำนักแล้วว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระอาการมิสู้ดีนัก ดังนั้นตามระเบียงบนพระที่นั่ง บันไดทางเดินจึงเต็มไปด้วยเหล่าพระราชโอรส-ธิดา พระมเหสีนางใน ที่พากันมาคอยฟังพระอาการประชวร ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่บนพระแท่นบรรทม ในบางเวลานั้นก็ทรงหายพระทัยเข้าออกครั้งละยาวๆ โดยหายพระทัยทางพระโอษฐ์แรงๆ พระเนตรของพระองค์เหม่อลอยไม่จับใครเสียแล้ว ทรงลืมพระเนตรคว้างอยู่อย่างนั้นเอง สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯทรงกราบบังคมทูลถามพระเจ้าอยู่หัวว่า “เสวยพระสุธารส(น้ำดื่ม)ไหมเพคะ” พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตอบกลับโดยการพยักหน้า สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯจึงกราบทูลต่อไปว่า “หม่อมฉันจะถวายพระโอสถแก้พระศอแห้งเพคะ” ครั้งนี้พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งกลับว่า “ฮือ”
แต่ทันใดนั้นพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีน้ำพระเนตรไหลออกมา คล้ายทรงพระกรรแสง พระองค์จึงพยายามยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นมาเช็ดน้ำพระเนตรด้วยพระองค์เอง พระนางเจ้าสุขุมาลฯเห็นจึงรีบนำผ้าขึ้นมาซับน้ำพระเนตรถวาย โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯประทับอยู่ปลายพระแท่นบรรทมคอยถวายงานนวดอยู่และรับสั่งให้หมอฝรั่งขึ้นมาถวายตรวจพระอาการ เวลาข้ามผ่านเที่ยงคืนมาเป็นวันที่ 23 ตุลาคม หมอแต่ละคนหมั่นผลัดเปลี่ยนกันขึ้นถวายตรวจชีพจร พระเจ้าอยู่หัวทรงหายพระทัยแผ่วเบาลงทุกทีๆ ไม่มีพระอาการกระวนกระวายแต่อย่างใด ยังคงบรรทมอยู่อย่างเดิม แต่พระเนตรของพระองค์จากที่มองคว้างอยู่ก็กลับค่อยๆหรี่แล้วหลับพระเนตรลงในที่สุด เจ้าพนักงานลงมาตามหมอฝรั่งขึ้นไปถวายตรวจพระอาการอีกครั้ง สักพักหมอจึงทูลกับเหล่าพระมเหสีที่ประทับเฝ้าพระอาการอยู่ ณ ที่นั้นว่า….พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเสียแล้ว
ทันใดนั้นเหล่าพระราชโอรส พระราชธิดา มเหสีสนมเจ้าจอมก็แย่งกันกรูเข้าไปดูพระบรมศพ เมื่อเห็นแล้วก็พากันล้มลงกับพื้นนอนร้องไห้คร่ำครวญเสียงระงมไปทั่วทั้งพระที่นั่ง โดยเฉพาะพระราชธิดาที่พากันนอนทอดกายกรรแสงเป็นลมกันยกใหญ่ ด้านสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯก็ทรงประชวรพระวาโย(เป็นลม)มีอาการชักกระตุกและหมดสติ หมอฝรั่งต้องรีบถวายยาฉีด ข้าหลวงจึงทูลเชิญขึ้นประทับบนพระเก้าอี้แล้วหามกลับตำหนักสวนสี่ฤดู สำหรับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯก็ทรงประชวรพระวาโยเช่นกัน ทรงพระกรรแสงยกใหญ่มิได้สติ ข้าหลวงทูลเชิญขึ้นพระเก้าอี้แล้วหามกลับตำหนักสวนหงส์ เห็นจะมีแต่พระนางเจ้าสุขุมาลฯพระองค์เดียวที่สามารถควบคุมพระสติได้ แต่ก็ยังพระกรรแสงแข็งพระทัยนั่งเป็นประธานอยู่ปลายพระแท่นที่พระบรมศพบรรทมอยู่
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เหล่าทหารมหาดเล็กจึงรีบเข้าปิดล้อมพระที่นั่งอัมพรสถานเพื่อถวายความปลอดภัยแก่องค์รัชทายาทซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในวันผลัดแผ่นดิน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุฯ จึงทูลเชิญให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธผู้เป็นองค์รัชทายาท เสด็จกลับลงไปยังชั้นล่างของพระที่นั่งอัมพรสถาน ในที่นั้นเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า เสนาบดี และองคมนตรียืนเข้าเฝ้าอย่างพร้อมเพียงกัน จากนั้นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุฯ จึงคุกพระชงฆ์(คุกเข้า)ลงกับพื้นแล้วกราบถวายบังคมแทบพระบาทของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และอัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัวองค์ต่อไป
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงประชวรด้วยโรคพระวักกะ (โรคไต) รวมพระชนมพรรษา 58 พรรษา
จากภาพคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 และภาพภายนอก-ภายในของพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
อ้างอิง: หนังสือประวัติต้นรัชกาลที่6,บทสัมภาษณ์หม่อมเจ้าหญิงจงจิตรถนอม ดิศกุล,คำบอกเล่าในเหตุการณ์ของหม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา
Cr.หนังสือประวัติต้นราชการเหตุการณ์ในวันสวรรคต” 23 ตุลาฯปิยมหาราชานุสรณ์๛
ค่ำวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เป็นที่ทราบกันอย่างภายในราชสำนักแล้วว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระอาการมิสู้ดีนัก ดังนั้นตามระเบียงบนพระที่นั่ง บันไดทางเดินจึงเต็มไปด้วยเหล่าพระราชโอรส-ธิดา พระมเหสีนางใน ที่พากันมาคอยฟังพระอาการประชวร ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่บนพระแท่นบรรทม ในบางเวลานั้นก็ทรงหายพระทัยเข้าออกครั้งละยาวๆ โดยหายพระทัยทางพระโอษฐ์แรงๆ พระเนตรของพระองค์เหม่อลอยไม่จับใครเสียแล้ว ทรงลืมพระเนตรคว้างอยู่อย่างนั้นเอง สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯทรงกราบบังคมทูลถามพระเจ้าอยู่หัวว่า “เสวยพระสุธารส(น้ำดื่ม)ไหมเพคะ” พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตอบกลับโดยการพยักหน้า สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯจึงกราบทูลต่อไปว่า “หม่อมฉันจะถวายพระโอสถแก้พระศอแห้งเพคะ” ครั้งนี้พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งกลับว่า “ฮือ”
แต่ทันใดนั้นพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีน้ำพระเนตรไหลออกมา คล้ายทรงพระกรรแสง พระองค์จึงพยายามยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นมาเช็ดน้ำพระเนตรด้วยพระองค์เอง พระนางเจ้าสุขุมาลฯเห็นจึงรีบนำผ้าขึ้นมาซับน้ำพระเนตรถวาย โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯประทับอยู่ปลายพระแท่นบรรทมคอยถวายงานนวดอยู่และรับสั่งให้หมอฝรั่งขึ้นมาถวายตรวจพระอาการ เวลาข้ามผ่านเที่ยงคืนมาเป็นวันที่ 23 ตุลาคม หมอแต่ละคนหมั่นผลัดเปลี่ยนกันขึ้นถวายตรวจชีพจร พระเจ้าอยู่หัวทรงหายพระทัยแผ่วเบาลงทุกทีๆ ไม่มีพระอาการกระวนกระวายแต่อย่างใด ยังคงบรรทมอยู่อย่างเดิม แต่พระเนตรของพระองค์จากที่มองคว้างอยู่ก็กลับค่อยๆหรี่แล้วหลับพระเนตรลงในที่สุด เจ้าพนักงานลงมาตามหมอฝรั่งขึ้นไปถวายตรวจพระอาการอีกครั้ง สักพักหมอจึงทูลกับเหล่าพระมเหสีที่ประทับเฝ้าพระอาการอยู่ ณ ที่นั้นว่า….พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเสียแล้ว
ทันใดนั้นเหล่าพระราชโอรส พระราชธิดา มเหสีสนมเจ้าจอมก็แย่งกันกรูเข้าไปดูพระบรมศพ เมื่อเห็นแล้วก็พากันล้มลงกับพื้นนอนร้องไห้คร่ำครวญเสียงระงมไปทั่วทั้งพระที่นั่ง โดยเฉพาะพระราชธิดาที่พากันนอนทอดกายกรรแสงเป็นลมกันยกใหญ่ ด้านสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯก็ทรงประชวรพระวาโย(เป็นลม)มีอาการชักกระตุกและหมดสติ หมอฝรั่งต้องรีบถวายยาฉีด ข้าหลวงจึงทูลเชิญขึ้นประทับบนพระเก้าอี้แล้วหามกลับตำหนักสวนสี่ฤดู สำหรับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯก็ทรงประชวรพระวาโยเช่นกัน ทรงพระกรรแสงยกใหญ่มิได้สติ ข้าหลวงทูลเชิญขึ้นพระเก้าอี้แล้วหามกลับตำหนักสวนหงส์ เห็นจะมีแต่พระนางเจ้าสุขุมาลฯพระองค์เดียวที่สามารถควบคุมพระสติได้ แต่ก็ยังพระกรรแสงแข็งพระทัยนั่งเป็นประธานอยู่ปลายพระแท่นที่พระบรมศพบรรทมอยู่
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เหล่าทหารมหาดเล็กจึงรีบเข้าปิดล้อมพระที่นั่งอัมพรสถานเพื่อถวายความปลอดภัยแก่องค์รัชทายาทซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในวันผลัดแผ่นดิน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุฯ จึงทูลเชิญให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธผู้เป็นองค์รัชทายาท เสด็จกลับลงไปยังชั้นล่างของพระที่นั่งอัมพรสถาน ในที่นั้นเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า เสนาบดี และองคมนตรียืนเข้าเฝ้าอย่างพร้อมเพียงกัน จากนั้นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุฯ จึงคุกพระชงฆ์(คุกเข้า)ลงกับพื้นแล้วกราบถวายบังคมแทบพระบาทของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และอัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัวองค์ต่อไป
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงประชวรด้วยโรคพระวักกะ (โรคไต) รวมพระชนมพรรษา 58 พรรษา
จากภาพคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 และภาพภายนอก-ภายในของพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
อ้างอิง: หนังสือประวัติต้นรัชกาลที่6,บทสัมภาษณ์หม่อมเจ้าหญิงจงจิตรถนอม ดิศกุล,คำบอกเล่าในเหตุการณ์ของหม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา
Cr.หนังสือประวัติค้นรัชกาลที่ 6
กนกจอม เอกวงศ์กุล